บทความทั้งหมด

ข่าวสารและบทความอัพเดทล่าสุด

ข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับเครื่องวัดและวิเคราะห์ อุปกรณ์ทั้งภายในและภายนอกห้องแล็บ เครื่องมือทางด้านวิศวกรรม

เครื่องชั่งสำหรับห้องปฏิบัติการขั้นสูงและมาตรฐานของ METTLER TOLEDO

METTLER TOLEDO มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ห้องปฏิบัติการทั่วโลกนำทางและลดความซับซ้อนของโลกของการชั่งน้ำหนักที่มีความแม่นยำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ บริษัท มาย แล็บ สเกล จำกัด ตัวแทนจําหน่าย และพันธมิตรที่ได้รับอนุญาตของเรามีประสบการณ์ในด้านเครื่องมือวิเคราะห์และห้องปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญของ METTLER TOLEDO ฝึกอบรมทีมขายและบริการทั้งหมด บริษัท มาย แล็บ สเกล จำกัด  ทั่วโลก เพื่อให้การสนับสนุนและบริการแก่คุณตลอดอายุการใช้งานของเครื่องมือ พร้อมกับปฏิบัติตามมาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวดของ METTLER TOLEDO เมทเล่อร์ โทเลโด ผู้เชี่ยวชาญด้านการชั่งน้ำหนักที่เชื่อถือได้ตั้งแต่ปี 1945 METTLER TOLEDO เป็นผู้ผลิตเครื่องมือและบริการที่มีความแม่นยำสูงที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก โดยมีเครื่องชั่งมากกว่า 150 รายการเพื่อตอบสนองความต้องการของห้องปฏิบัติการใดๆ ตั้งแต่ข้อกำหนดในการชั่งน้ำหนักแบบธรรมดาไปจนถึง ข้อกำหนดในการจ่ายขั้นสูงที่สุด ลูกค้าหลายร้อยราย รวมถึงสตาร์ทอัพ บริษัทขนาดกลาง และองค์กรขนาดใหญ่ ใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการของ METTLER TOLEDO เพื่อลดความซับซ้อนของขั้นตอนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน เครื่องชั่งสำหรับห้องปฏิบัติการขั้นสูงและมาตรฐาน คุณภาพที่ยั่งยืน ความแม่นยำที่ไม่มีใครเทียบได้ และใช้งานง่ายเพื่อประสบการณ์การชั่งน้ำหนักที่ราบรื่น เครื่องชั่งของ METTLER TOLEDO ได้รับการออกแบบและผลิตอย่างเชี่ยวชาญจากวัสดุคุณภาพสูง เพื่อให้มั่นใจได้ถึงผลการชั่งน้ำหนักที่เชื่อถือได้ ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการชั่งน้ำหนัก นวัตกรรม และชื่อเสียงที่ไม่มีใครเทียบได้ เราจึงได้จัดหาเครื่องชั่งที่มีอายุการใช้งานยาวนานให้กับห้องปฏิบัติการมานานหลายทศวรรษ METTLER TOLEDO มุ่งมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุดให้กับคุณเพื่อให้มั่นใจถึงความน่าเชื่อถือและความถูกต้องแม่นยำ

อ่านเพิ่มเติม ❯

เครื่องไทเทรตแบบ Karl Fischer อัตโนมัติ ยี่ห้อ Mettler Toledo

เครื่องไทเทรตแบบ Karl Fischer เป็นเครื่องมือสำคัญในงานวิเคราะห์ที่ต้องการความแม่นยำในการวัดปริมาณน้ำในตัวอย่าง โดยเครื่องไทเทรต Karl Fischer ของ Mettler Toledo ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย มีความแม่นยำสูง และมีประสิทธิภาพเป็นเลิศในการวัดความชื้นในสารตัวอย่างหลากหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมยา อาหาร เคมี และปิโตรเคมี เครื่องไทเทรต Karl Fischer อัตโนมัติของ Mettler Toledo ยังช่วยให้ผู้ใช้งานลดขั้นตอนและข้อผิดพลาดในการทำงานแบบแมนนวล ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการวิเคราะห์เชิงลึก หลักการทำงานของเครื่องไทเทรต Karl Fischer ของ Mettler Toledo การวัดปริมาณน้ำด้วย Karl Fischer Titration มีสองเทคนิคหลักที่ Mettler Toledo ใช้ในเครื่องไทเทรตของตน: 1.Volumetric Karl Fischer Titration วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ตัวอย่างมีปริมาณน้ำสูง โดยเครื่องจะทำการไทเทรตด้วยสารละลายไอโอดีน (Iodine) เพื่อทำปฏิกิริยากับน้ำในตัวอย่าง โดยปริมาณไอโอดีนที่ใช้จะสัมพันธ์กับปริมาณน้ำในตัวอย่าง ทำให้สามารถคำนวณปริมาณน้ำได้อย่างแม่นยำ 2.Coulometric Karl Fischer Titration ใช้กับตัวอย่างที่มีปริมาณน้ำในระดับต่ำถึงต่ำมาก วิธีนี้สร้างไอโอดีนผ่านปฏิกิริยาอิเล็กโทรไลต์ (Electrolysis) ในเซลล์ปิด เพื่อทำปฏิกิริยากับน้ำที่อยู่ในตัวอย่าง กระบวนการนี้แม่นยำมากในการตรวจวัดน้ำในระดับไมโครกรัม คุณสมบัติเด่นของเครื่องไทเทรต Karl Fischer อัตโนมัติ Mettler Toledo Mettler Toledo มีชื่อเสียงในด้านเทคโนโลยีการไทเทรตด้วยคุณภาพสูงและความแม่นยำ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ Karl Fischer ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง คุณสมบัติเด่นของเครื่องนี้ ได้แก่: 1.ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เครื่องไทเทรตของ Mettler Toledo มาพร้อมระบบการเติมสารและการตรวจวัดอัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถตั้งค่ากระบวนการไทเทรตได้ตามต้องการ ช่วยให้การวัดปริมาณน้ำในตัวอย่างเป็นไปอย่างแม่นยำและรวดเร็ว อีกทั้งลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานด้วยมือ 2.ความแม่นยำและไวต่อปริมาณน้ำต่ำ เครื่องไทเทรต Karl Fischer ของ Mettler Toledo สามารถตรวจจับปริมาณน้ำในตัวอย่างได้ตั้งแต่ระดับมิลลิกรัมถึงไมโครกรัม ทำให้เหมาะสำหรับตัวอย่างที่ต้องการการวัดปริมาณน้ำที่ละเอียดอ่อน เช่น ในอุตสาหกรรมยาและเคมี 3.เทคโนโลยีป้องกันการรั่วไหลของสารเคมี ตัวเครื่องได้รับการออกแบบให้มีระบบปิดที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย เช่น ไอโอดีน และมีระบบป้องกันการรั่วไหลของสารเคมี...

อ่านเพิ่มเติม ❯

การเลือกใช้งานเครื่องวัดความชื้นยี่ห้อ Mettler Toledo แต่ละประเภท ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

เครื่องวัดความชื้นยี่ห้อ Mettler Toledo รุ่น HC103, HX204, HS153, HE73, และ HE53 ต่างมีคุณสมบัติและฟังก์ชันการใช้งานที่เหมาะสมกับประเภทงานที่หลากหลาย โดยสามารถแยกความแตกต่างได้ดังนี้: 1. HC103 หน้าจอและการใช้งาน: มีหน้าจอสัมผัสสีขนาดใหญ่ (Color Touchscreen) ใช้งานง่าย พร้อมระบบแนะนำการใช้งาน ความแม่นยำ: แม่นยำสูง เหมาะสำหรับงานห้องแล็บหรืออุตสาหกรรมที่ต้องการข้อมูลละเอียด การเชื่อมต่อ: รองรับ USB สำหรับการเก็บและส่งออกข้อมูล การใช้งาน: เหมาะสำหรับห้องทดลองที่ต้องการความแม่นยำสูงและการบันทึกข้อมูลสะดวก 2. HX204 หน้าจอและการใช้งาน: มีหน้าจอสัมผัสแบบสีขนาดใหญ่ ใช้งานง่ายและสะดวก รวมถึงระบบคำแนะนำแบบกราฟิกที่ละเอียด ความแม่นยำ: มีความแม่นยำสูงกว่า HC103 เนื่องจากใช้เซนเซอร์ที่ละเอียดกว่า ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการการวิเคราะห์ระดับสูง การสอบเทียบอัตโนมัติ: มีระบบ FACT (Fully Automatic Calibration Technology) สำหรับการสอบเทียบอัตโนมัติ เพื่อความแม่นยำตลอดการใช้งาน การใช้งาน: เหมาะสำหรับงานที่ต้องการผลการวัดที่แม่นยำและเชื่อถือได้สูงมาก เช่นในห้องทดลองที่มีมาตรฐานสูง หรือการวิจัยและพัฒนา (R&D) 3. HS153 หน้าจอและการใช้งาน: มีหน้าจอสัมผัสที่ง่ายต่อการใช้งาน แต่ขนาดหน้าจออาจเล็กกว่า HX204 และ HC103 ความแม่นยำ: แม่นยำระดับกลาง เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป การสอบเทียบ: มีระบบการสอบเทียบเบื้องต้น แต่ไม่มี FACT เหมือน HX204 การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำระดับกลางในงานทั่วไปหรือการทดสอบประจำวัน 4. HE73 หน้าจอและการใช้งาน: มีหน้าจอพื้นฐาน ใช้งานง่าย ความแม่นยำ: แม่นยำระดับทั่วไป เหมาะกับการใช้งานที่ไม่ต้องการความละเอียดสูง การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปที่ไม่ซับซ้อน โดยไม่มีฟังก์ชันการบันทึกข้อมูลที่ซับซ้อน 5. HE53 หน้าจอและการใช้งาน: รุ่นพื้นฐานที่สุด มีหน้าจอเล็กและฟังก์ชันที่เรียบง่าย ความแม่นยำ: มีความแม่นยำน้อยที่สุดในรุ่นที่กล่าวมา แต่ยังเพียงพอสำหรับงานพื้นฐานที่ไม่ต้องการความละเอียดสูง การใช้งาน: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือใช้งานในระดับทั่วไป เน้นการใช้งานง่ายและประหยัด สรุป HX204 เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงสุดและการสอบเทียบอัตโนมัติ HC103 เหมาะกับห้องทดลองที่ต้องการฟังก์ชันครบครันและการบันทึกข้อมูล HS153 เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ต้องการความแม่นยำระดับกลาง HE73 และ HE53 เป็นรุ่นพื้นฐานที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป

อ่านเพิ่มเติม ❯

ปิเปตและทิปของ Rainin ของ Mettler toledo

การใช้งานปิเปตและทิปคุณภาพสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งในงานวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ปริมาณที่แม่นยำและคงที่ในการถ่ายโอนของเหลว Mettler Toledo เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตปิเปตและทิป โดยเฉพาะปิเปตและทิปของแบรนด์ Rainin ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการวิทยาศาสตร์และห้องปฏิบัติการทั่วโลก ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับปิเปตและทิป Rainin และความสำคัญในการเลือกใช้งานเพื่อความแม่นยำและประสิทธิภาพในห้องแล็บ คุณสมบัติของปิเปต Rainin จาก Mettler Toledo ปิเปตจาก Rainin ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์งานที่ต้องการความแม่นยำสูงในการถ่ายโอนของเหลว ทั้งในแง่การใช้งานที่สะดวกและคงทน รวมถึงการคำนึงถึงความสบายของผู้ใช้งานเพื่อลดอาการเมื่อยล้าจากการทำงานซ้ำ ๆ โดยมีคุณสมบัติสำคัญดังนี้: 1.ความแม่นยำสูง (Precision Accuracy) ปิเปต Rainin ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความคลาดเคลื่อนในการวัดปริมาตรและผ่านการทดสอบความแม่นยำอย่างเคร่งครัด ทำให้ได้ค่าที่น่าเชื่อถือสูง เหมาะสมสำหรับการทำงานที่ต้องการความละเอียดในการวัดปริมาตร 2.การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design) ปิเปต Rainin ถูกออกแบบให้ลดแรงกดและอาการเมื่อยล้าของนิ้วและข้อมือในการใช้งานต่อเนื่อง ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากการใช้งานซ้ำ ๆ (Repetitive Strain Injury หรือ RSI) ทำให้ผู้ใช้ทำงานได้สะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในงานที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ หลายชั่วโมง 3.ระบบการปรับตั้งค่าที่ง่ายต่อการใช้งาน (Simple Calibration) ปิเปต Rainin มาพร้อมระบบการตั้งค่าที่ใช้งานง่าย ช่วยให้การปรับตั้งค่าปริมาตรของของเหลวเป็นไปอย่างแม่นยำและสะดวก ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น คุณสมบัติของทิป Rainin ทิป Rainin ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ร่วมกับปิเปต Rainin ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการถ่ายโอนของเหลวและป้องกันการปนเปื้อนในระดับสูง คุณสมบัติเด่นของทิป Rainin มีดังนี้: 1.BioClean Quality ทิป Rainin ผ่านการผลิตที่มีมาตรฐาน BioClean ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตทิปที่ปราศจากสิ่งปนเปื้อน เช่น DNA, DNase, RNase, เอนไซม์โปรตีน และสารเคมีที่อาจส่งผลกระทบต่อการทดลอง ทำให้มั่นใจได้ว่าทิปที่ใช้ปราศจากการปนเปื้อนและเหมาะกับงานวิจัยที่ต้องการความบริสุทธิ์สูง เช่น งานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล 2.การออกแบบ Low Retention ทิป Rainin มีคุณสมบัติ Low Retention ซึ่งช่วยลดการเกาะตัวของของเหลวภายในทิป ทำให้สามารถถ่ายโอนปริมาตรของเหลวได้อย่างสมบูรณ์ ลดการสูญเสียปริมาณสารและเพิ่มความแม่นยำในการทดลอง โดยเฉพาะสำหรับสารที่มีความหนืดสูงหรือสารที่มีปริมาณน้อย 3.การออกแบบให้เข้ากับปิเปตได้อย่างพอดี (Perfect Fit) ทิป Rainin...

อ่านเพิ่มเติม ❯

บิวเรตต์และการใช้งานในห้องปฏิบัติการ

บิวเรตต์ (Burette) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในห้องปฏิบัติการเคมี และ วิทยาศาสตร์ทั่วไป โดยมีหน้าที่หลักในการวัดและจ่ายปริมาตรของสารละลายอย่างแม่นยำ ซึ่งมีความสำคัญมากในกระบวนการ ไทเทรต (Titration) หรือ การไทเทรตซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้วัดหาความเข้มข้นของสารละลายต่าง ๆ ในตัวอย่าง บิวเรตต์มักทำจากแก้วหรือพลาสติกโปร่งใส มีรูปร่างเป็นท่อยาว และ มีการแบ่งสเกลละเอียดที่สามารถอ่านได้ถึง 0.1 มิลลิลิตร โครงสร้างและส่วนประกอบของบิวเรตต์ บิวเรตต์ประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ดังนี้: ท่อยาวโปร่งใส: ทำจากแก้วหรือพลาสติกใส เพื่อให้มองเห็นระดับสารละลายภายใน และมักมีสเกลแบ่งย่อยสำหรับอ่านปริมาตร สเกลวัดละเอียด: สเกลบนตัวบิวเรตต์แบ่งหน่วยออกเป็นมิลลิลิตร (มล.) และยังแบ่งย่อยได้ละเอียดเพื่อความแม่นยำในการวัด หัวเปิด-ปิด (Stopcock): ส่วนนี้อยู่ที่ปลายท่อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของสารละลายที่ปล่อยออกจากบิวเรตต์ สามารถปรับให้ไหลทีละน้อยหรือล็อกการไหลได้ การทำงานของบิวเรตต์ในกระบวนการไทเทรต บิวเรตต์ใช้ในการไทเทรตเพื่อตรวจหาความเข้มข้นของสารละลายในตัวอย่าง โดยหยดสารละลายมาตรฐานจากบิวเรตต์ลงในสารละลายตัวอย่างทีละน้อย จนกว่าจะเกิดปฏิกิริยาที่สมบูรณ์ ซึ่งจุดนี้เรียกว่า “จุดยุติ (End Point)” มักจะมีการใช้ตัวบ่งชี้ (Indicator) ซึ่งทำให้สารละลายเปลี่ยนสีเมื่อถึงจุดยุติ ผู้ใช้งานจะอ่านค่าสเกลบนบิวเรตต์เพื่อดูปริมาตรสารละลายที่ใช้ไป จากนั้นคำนวณหาความเข้มข้นของสารละลายในตัวอย่างได้ ข้อดีของการใช้บิวเรตต์ ความแม่นยำสูง: สเกลวัดที่แบ่งละเอียดช่วยให้สามารถหยดสารละลายออกมาในปริมาณที่ต้องการได้ ทำให้การวัดปริมาตรสารละลายมีความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในงานวิเคราะห์ที่ต้องการความละเอียด ควบคุมการไหลของสารละลายได้ดี: หัวเปิด-ปิดของบิวเรตต์สามารถควบคุมการไหลของสารละลายได้อย่างแม่นยำ เหมาะกับการไทเทรตที่ต้องการหยดสารละลายทีละน้อย ใช้งานง่ายและเหมาะกับการทดลองที่หลากหลาย: บิวเรตต์สามารถใช้งานได้กับตัวอย่างสารละลายต่าง ๆ ทำให้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานในงานปฏิบัติการหลายประเภท การใช้บิวเรตต์อย่างถูกต้อง 1.เตรียมบิวเรตต์: ทำความสะอาดบิวเรตต์ให้ปราศจากสิ่งสกปรก ล้างด้วยสารละลายที่จะใช้ในการไทเทรตเพื่อป้องกันการปนเปื้อน 2.เติมสารละลายลงในบิวเรตต์: เทสารละลายที่จะใช้วัดลงในบิวเรตต์ โดยไม่เติมเกินขีดสูงสุดของบิวเรตต์ และตรวจสอบว่าไม่มีฟองอากาศที่หัวเปิด-ปิด 3.อ่านค่าสเกลเริ่มต้น: ก่อนเริ่มไทเทรต อ่านค่าสเกลของบิวเรตต์ที่ระดับสารละลายเริ่มต้น 4.เริ่มกระบวนการไทเทรต: เปิดหัวเปิด-ปิดของบิวเรตต์ให้สารละลายหยดทีละน้อยลงในสารละลายตัวอย่าง ควบคุมการไหลของสารละลายจนกว่าจะถึงจุดยุติ 5.อ่านค่าและบันทึกปริมาตรที่ใช้: อ่านค่าปริมาตรที่ใช้จากสเกลของบิวเรตต์ แล้วบันทึกเพื่อใช้ในการคำนวณหาความเข้มข้นของสารในตัวอย่าง การดูแลรักษาบิวเรตต์ ล้างบิวเรตต์หลังการใช้งานทุกครั้ง เพื่อขจัดสารละลายที่เหลืออยู่ ตรวจสอบว่าบิวเรตต์ไม่มีรอยแตกหรือรอยรั่วบริเวณหัวเปิด-ปิด เก็บบิวเรตต์ในที่แห้งและปลอดภัย เพื่อป้องกันการแตกหักและป้องกันฝุ่น สรุป บิวเรตต์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในงานปฏิบัติการทางเคมี โดยเฉพาะในการวิเคราะห์เชิงปริมาณและการไทเทรต ความสามารถในการวัดปริมาตรได้อย่างแม่นยำและควบคุมการหยดสารละลายได้ดี ช่วยให้บิวเรตต์เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในห้องปฏิบัติการ

อ่านเพิ่มเติม ❯

เครื่องมือวัดวิศวกรรมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพ

เครื่องมือวัดวิศวกรรมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความแม่นยำของงานในทุกๆ ด้าน ทั้งในอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการวิจัย เครื่องมือวัดช่วยให้วิศวกรสามารถวัดและตรวจสอบค่าต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าหรือโครงการเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด บทความนี้จะกล่าวถึงเครื่องมือวัดวิศวกรรมประเภทต่างๆ ลักษณะสำคัญ และวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน ประเภทของเครื่องมือวัดวิศวกรรม 1.เครื่องมือวัดความยาวและระยะทาง เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper): ใช้สำหรับวัดระยะภายใน ภายนอก และความลึกของชิ้นงาน มีความละเอียดสูง เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer): อุปกรณ์วัดขนาดชิ้นงานขนาดเล็ก มีความแม่นยำสูงกว่าเวอร์เนียคาลิปเปอร์ ใช้สำหรับวัดขนาดในระดับไมครอน 2.เครื่องมือวัดมุมและระดับ เครื่องวัดมุม (Protractor): ใช้ในการวัดมุมของชิ้นงาน โดยเฉพาะในงานก่อสร้างและงานเครื่องกล อินไคลโนมิเตอร์ (Inclinometer): เครื่องวัดที่ใช้ในการวัดระดับและมุมเอียง เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น งานวิศวกรรมโยธาและงานโครงสร้าง กล้องวัดระดับ (Theodolite): ใช้วัดมุมและแนวระดับ เหมาะสำหรับการสำรวจพื้นที่และงานวางแผนโครงสร้าง 3.เครื่องมือวัดแรงและความดัน เกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge): ใช้วัดแรงดันในของเหลวหรือแก๊ส เช่น วัดแรงดันในระบบน้ำหรือระบบลม ไดนาโมมิเตอร์ (Dynamometer): อุปกรณ์วัดแรง เช่น แรงในการยกหรือแรงกระทำบนวัสดุ เหมาะสำหรับงานทดสอบและวิจัยในอุตสาหกรรม 4.เครื่องมือวัดอุณหภูมิ เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple): เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิในกระบวนการผลิต สามารถทนอุณหภูมิได้สูงและให้ค่าที่แม่นยำ ไพโรมิเตอร์ (Pyrometer): ใช้สำหรับวัดอุณหภูมิในระยะไกลหรือในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น ในเตาหลอมเหล็กหรือกระบวนการผลิตโลหะ 5.เครื่องมือวัดการไหล โฟลว์มิเตอร์ (Flow Meter): เครื่องมือวัดปริมาณการไหลของของเหลวหรือแก๊สในระบบท่อ เช่น การวัดการไหลของน้ำมันหรือการวัดปริมาณน้ำในระบบประปา 6.เครื่องมือวัดความหนาและความแข็งแรงของวัสดุ เครื่องวัดความแข็งแรงของวัสดุ (Material Hardness Tester): ใช้วัดความแข็งของวัสดุต่างๆ เช่น เหล็ก โลหะ หรือพลาสติก เครื่องวัดความหนา (Thickness Gauge): ใช้ในการวัดความหนาของชิ้นงาน เช่น การวัดความหนาของโลหะหรือแก้ว 7.เครื่องมือวัดเสียงและการสั่นสะเทือน เครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter): ใช้วัดระดับความดังของเสียงในพื้นที่ เช่น วัดเสียงในสถานประกอบการเพื่อป้องกันการเสียหายของหู เครื่องวัดการสั่นสะเทือน (Vibration Meter):...

อ่านเพิ่มเติม ❯

เครื่องวัดความชื้นทางการเกษตรยี่ห้อKETT

เครื่องวัดความชื้นของยี่ห้อ Kett รุ่น 4502, 4513, 6515, และ 4522 เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดความชื้นในวัสดุต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ข้าว ธัญพืช เมล็ดพันธุ์ และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ โดยมีคุณสมบัติหลักและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดความชื้น 1. KETT 4502 ( วัดความชื้นข้าวเปลือก ) เป็นเครื่องวัดความชื้นแบบพกพา เหมาะสำหรับการวัดความชื้นของข้าวเปลือก ใช้งานง่ายและให้ค่าความชื้นที่แม่นยำด้วยระบบแสดงผลแบบดิจิทัล เหมาะสำหรับการใช้งานภาคสนามและโรงเก็บสินค้า เพื่อประเมินความชื้นก่อนการเก็บรักษาหรือการแปรรูป 2. KETT 4513 ( วัดความชื้นข้าวโพด ) เครื่องวัดความชื้นแบบพกพาอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการวัดความชื้นของข้าวโพด ใช้งานง่ายและให้ค่าความชื้นที่แม่นยำด้วยระบบแสดงผลแบบดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีวัดค่าความชื้นที่ทันสมัย ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและแม่นยำ 3. KETT 6515 ( วัดความชื้นเมล็ดพืช 140 ชนิด ) รุ่นนี้เป็นเครื่องวัดความชื้นแบบ Infrared Moisture Analyzer เหมาะสำหรับการวัดความชื้นอย่างละเอียดและแม่นยำ ใช้เทคโนโลยีอินฟราเรดในการวัด ซึ่งเหมาะกับการวิเคราะห์ตัวอย่างขนาดเล็กและต้องการความแม่นยำสูง ใช้กันในห้องปฏิบัติการและสำหรับการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และตัวอย่างชีวมวลต่างๆ 4. KETT 4522 ( วัดความชื้นเมล็ดพืช 25 ชนิด ) เป็นเครื่องวัดความชื้นที่ออกแบบมาให้สามารถวัดความชื้นในวัสดุประเภทต่างๆ ได้หลากหลาย มีฟังก์ชันการทำงานที่สามารถตั้งค่าการวัดความชื้นที่แตกต่างกันตามชนิดของวัสดุ ใช้งานง่ายและให้ค่าที่แม่นยำ ทำให้เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเกษตรและโรงงานที่ต้องการวัดความชื้นในกระบวนการผลิต คุณสมบัติเด่นของเครื่องวัดความชื้น KETT ใช้งานง่ายและมีการแสดงผลแบบดิจิทัลที่ชัดเจน ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการวัดความชื้นในสภาพแวดล้อมภาคสนามและห้องปฏิบัติการ มีความสามารถในการวัดความชื้นของวัสดุหลายประเภท และสามารถตั้งค่าสำหรับการวัดเฉพาะวัสดุได้ เครื่องวัดความชื้นของ KETT แต่ละรุ่นได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร ที่การควบคุมความชื้นมีความสำคัญต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์

อ่านเพิ่มเติม ❯

เฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการ ตอบโจทย์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

เฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การวิจัยและการทดลองเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องปฏิบัติการต้องคำนึงถึงความทนทาน คุณภาพ และความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน เพราะเฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้มีความสำคัญที่มากกว่าเพียงแค่ความสวยงามและการจัดเก็บเท่านั้น บทความนี้จะพูดถึงประเภทของเฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการ ลักษณะสำคัญของเฟอร์นิเจอร์ที่ควรคำนึง และประโยชน์ที่เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้มอบให้แก่ผู้ใช้งานในห้องปฏิบัติการ ประเภทของเฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการ โต๊ะปฏิบัติการ (Laboratory Workbenches) : โต๊ะปฏิบัติการมีความสำคัญเนื่องจากเป็นพื้นที่หลักในการทำงาน ทั้งการจัดเตรียมสารเคมี การจัดเรียงอุปกรณ์ รวมถึงการทดสอบต่างๆ โต๊ะเหล่านี้ควรทนต่อสารเคมี ทนต่อการขีดข่วน และสามารถรองรับน้ำหนักอุปกรณ์ที่หลากหลายได้ นอกจากนี้ โต๊ะปฏิบัติการที่ออกแบบให้มีชั้นวางหรือช่องเก็บของใต้โต๊ะช่วยให้การจัดเก็บอุปกรณ์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น ตู้เก็บสารเคมี (Chemical Storage Cabinets) : ตู้เก็บสารเคมีถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเก็บสารเคมีต่างๆ อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนหรือการรั่วไหล ตู้เหล่านี้ควรมีระบบระบายอากาศที่ดี วัสดุทนสารเคมี และระบบล็อกเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตู้ดูดไอสารเคมี (Fume Hoods) : ตู้ดูดไอสารเคมีมีความสำคัญอย่างมากในห้องปฏิบัติการที่ใช้สารเคมีอันตราย เนื่องจากตู้เหล่านี้ช่วยในการดูดและระบายไอระเหยของสารเคมีออกจากห้อง ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นพิษ ตู้ดูดไอสารเคมีควรติดตั้งระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมการทำงานได้ เก้าอี้ปฏิบัติการ (Laboratory Stools or Chairs) : เก้าอี้ในห้องปฏิบัติการควรออกแบบมาเพื่อรองรับการนั่งทำงานเป็นเวลานาน และมีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งานในห้องปฏิบัติการ บางห้องอาจต้องการเก้าอี้ที่สามารถหมุนได้ ปรับความสูงได้ หรือมีล้อเลื่อนเพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ได้ง่าย ชั้นเก็บของและรถเข็น (Shelving and Laboratory Carts) : ชั้นวางและรถเข็นเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบและสามารถเคลื่อนย้ายไปยังจุดต่างๆ ได้สะดวก รถเข็นในห้องปฏิบัติการควรมีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ำหนักได้ และวัสดุทนทานต่อสารเคมี ลักษณะสำคัญของเฟอร์นิเจอร์ห้องปฏิบัติการ วัสดุทนทาน : เฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการควรสร้างจากวัสดุที่ทนทานต่อสารเคมี ทนต่อความร้อนและความชื้น เพื่อให้สามารถใช้งานได้นานและลดความเสี่ยงต่อการเสียหาย การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ : เฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมกับสรีระของผู้ใช้งานช่วยลดการบาดเจ็บจากการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความปลอดภัย : ความปลอดภัยเป็นปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง เช่น ระบบล็อก การระบายอากาศ และความทนทานของวัสดุ ความสะดวกในการทำความสะอาด : เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้ทำความสะอาดได้ง่าย ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคและสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน ประโยชน์ของเฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการ การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมช่วยให้การดำเนินงานในห้องปฏิบัติการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ปกป้องผู้ใช้งานจากสารเคมี และช่วยให้การจัดการพื้นที่ทำได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้นการลงทุนในเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและจำเป็นในระยะยาวการคัดสรรเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกต้องสามารถส่งเสริมประสิทธิภาพและความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการได้อย่างดีเยี่ยม

อ่านเพิ่มเติม ❯

การจัดเตรียมบัฟเฟอร์ – โซลูชัน ในห้องปฏิบัติการเคมีและชีวเคมี

การจัดเตรียมบัฟเฟอร์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นบ่อยในห้องปฏิบัติการเคมีและชีวเคมี สารละลายบัฟเฟอร์เป็นสารผสมระหว่างกรดอ่อนกับคู่เบส หรือเบสอ่อนกับคู่กรด สารละลายบัฟเฟอร์มักนำมาใช้ในการควบคุมค่า pH ของสารละลายที่ผสมกับบัฟเฟอร์ให้คงที่ โดยบัฟเฟอร์จะต้านทานการเปลี่ยนแปลงค่า pH ของสารละลายทั้งหมดเมื่อความเป็นกรดหรือด่างในสารละลายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องมาจากการเติมสารละลายอื่นหรือเกิดปฏิกิริยาเคมีใดๆ ภายในสารละลายดังกล่าว บัฟเฟอร์จึงเป็นสารละลายสารพัดประโยชน์ในการใช้งานต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีค่า pH ที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งบัฟเฟอร์อาจเรียกอีกอย่างว่าบัฟเฟอร์ pH, บัฟเฟอร์ไฮโดรเจนไอออน หรือสารละลายบัฟเฟอร์ ตัวอย่างเช่น เลือดมีบัฟเฟอร์ในธรรมชาติเพื่อควบคุมค่า pH ให้อยู่ระหว่าง 7.35 ถึง 7.45 เสมอ เพื่อให้เอนไซม์ของเราทำงานได้เป็นปกติ การทำงานของเอนไซม์จะเปลี่ยนแปลงไปตามค่า pH ด้วยเหตุนี้ การควบคุมค่า pH ให้คงที่จึงเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ทางชีวเคมีเพื่อให้ระดับการทำงานที่สังเกตนั้นถูกต้อง ในการใช้งานเชิงพาณิชย์ เราจะพบบัฟเฟอร์ในยาสระผมเพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนัง พบในโลชันทาผิวเด็กเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และพบในน้ำยาล้างคอนแทกเลนส์เพื่อควบคุมค่า pH ของน้ำยาให้ตรงกับช่วงค่า pH ของดวงตา การจัดเตรียมบัฟเฟอร์นั้นมีหลายขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วยการชั่งน้ำหนักสารประกอบ การละลายสารประกอบ การปรับค่า pH และการเติมสารให้ได้ปริมาณสุดท้ายที่ต้องการ เนื่องจากสัดส่วนของกรดต่อเบสในบัฟเฟอร์นั้นแปรผันตามค่า pH สุดท้ายโดยตรง การชั่งน้ำหนักสารประกอบด้วยระดับของความเที่ยงตรงแม่นยำสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยเหตุนี้ อุปกรณ์ที่ใช้ (เครื่องชั่ง ปิเปต และมิเตอร์วัดค่า pH) จึงจำเป็นต้องได้รับการสอบเทียบอย่างถูกต้องและมีความแม่นยำเพียงพอ

อ่านเพิ่มเติม ❯
1 2